
ระบบขจัดเสียงรบกวน หรือ Noise Cancelling มีจุดเริ่มต้นจากวงการการบิน ซึ่งการติดต่อสื่อสารระหว่างนักบิน และเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้ชุด Head Set (ชุดหูฟังครอบหูมีไมค์) ในการสื่อสาร แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมในการทำงานมีเสียงดังมาก เช่นเสียงเครื่องยนต์เครื่องบิน ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างนักบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะมีเสียงดังรบกวนจนแทบไม่ได้ยินอะไร จึงทำให้ทั้งนักบินและเจ้าหน้าที่ต้องเร่งเสียงหูฟังให้ดังจนทำให้เกิดภาวะหูตึง ผู้ผลิตหลายๆค่ายจึงพยายามพัฒนาหูฟังของตัวเองให้มีความสามารถขจัดเสียงรบกวนได้ดีที่สุด จนพัฒนามาเป็นระบบ Noise Cancelling ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันระบบขจัดเสียงรบกวนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ Passive Noise Isolation กับ Active Noise Cancelling เจ้า 2 ระบบนี้แตกต่างกันอย่างไร มาดูกันครับ
ระบบ Passive Noise Isolation เป็นการป้องกันเสียงรบกวนแบบไม่ใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่เราใช้กันอยู่ทุกวันแต่หลายคนไม่รู้ว่ามันคือระบบ Passive Noise Isolation นั่นก็คือ ฟองน้ำหูฟัง หรือ จุกยางของหูฟังนั่นเอง โดยระบบ Passive Noise Isolation นี้ถือว่าเป็นพื้นฐานของการป้องกันเสียงรบกวนได้ดีระดับนึงเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น หูฟังแบบ In-Ear เมื่อใช้งานร่วมกับจุกยาง(หรือโฟม)ที่มีความเหมาะสมกับหูเรานั้น จะสามารถป้องกันเสียงรอบข้างเข้ามารบกวนได้ดีมาก อีกทั้งยังป้องกันเสียงเล็ดลอดไปรบกวนผู้อื่นอีกด้วย

ระบบ Active Noise Cancelling เป็นการป้องกันเสียงรบกวนแบบใช้ไฟฟ้า ซึ่งแน่นอนว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าระบบของ Passive Noise Isolation โดยระบบนี้จะใช้ไมโครโฟนเป็นตัวรับเสียงมาประมวลผลว่าจะทำการตัดเสียงไหน แล้วจึงส่งให้ระบบขจัดเสียงรบกวนสร้างคลื่นให้มีรูปแบบตรงกันข้ามเพื่อหักล้างเสียงรบกวนนั้นๆ ทำให้เมื่อเรารับฟังผ่านหูฟังจึงแทบจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนจากแหล่งอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันนั้นได้มีการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยระบบ cVc หรือ Clear Voice Capture โดย Qualcomm CSR ด้วยเทคโนโลยี cVc นี้นอกจากจะตัดเสียงรบกวนตามแบบเดิมแล้ว ยังมีการเพิ่มคุณภาพเสียงหลังการหักล้างด้วยระบบ Noise Cancelling อีกทั้งยังป้องกันข้อมูล(เสียง)สูญหายจากการทำงานของระบบ Noise Cancelling อีกด้วยจึงทำให้นอกจากจะขจัดเสียงรบกวนแล้ว ยังช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ดีขึ้นกว่าระบบ Noise Cancelling ทั่วไป