เราควรจะซื้อ DAC ดีไหมถ้าเรามีแค่ Streamming App เหล่านี้👇👇👇
🔘DAC คืออะไร...และทำไมต้องใช้มัน❓
โดยปกติแล้ว ทั้งลำโพง และหูฟังมันจะต้องรับสัญญาณที่เป็นอนาล็อกเพื่อถ่ายทอดเสียงออกมา ดังนั้นเมื่อเราจะเล่นไฟล์เสียงหรือเพลงที่เก็บไว้เป็น “ดิจิตอล” มันต้องมีการแปลงสัญญาณจาก “ดิจิตอล” กลับมาเป็น “อนาล็อก” ก่อน เพื่อส่งให้ส่วนขยายเสียงหรือแอมป์ ก่อนจะไปออกที่หูฟังหรือลำโพงต่อ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีการแปลงสัญญาณที่ดี ไอเจ้าข้อมูลที่แปลงกลับมาเป็นอนาล็อก มันก็จะมีรายละเอียดที่ครบถ้วน ซึ่งมันก็จะส่งผลให้เสียงที่ได้ “ดีกว่า” การแปลงสัญญาณที่ไม่ดีนั่นเอง ซึ่งเจ้า DAC นี่แหล่ะคือตัวทำหน้าที่แปลงสัญญาณจากดิจิตอลเป็นอนาล็อก ชื่อเต็มๆของมันคือ Digital to Analog Converter
ซึ่งหากเราฟังเพลงจากไฟล์ที่เป็นดิจิตอล เจ้า DAC มันก็คือหนึ่งในตัวแปรที่จะทำให้หูฟัง หรือลำโพงของเราสามารถถ่ายทอดเสียงออกมาได้ดีขึ้น
🔘เราจะเจอ DAC ได้ที่ไหนบ้าง❓
จริงๆแล้ว DAC มันจะมีอยู่แล้วในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิสก์ทุกชนิดที่สามารถเล่นเพลงได้ ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ้ค เพราะถ้าไม่มีเราก็จะไม่สามารถเอาหูฟังหรือลำโพงไปต่อแล้วมีเสียงได้ เพียงแต่ว่า "คุณภาพ" ของ DAC ที่มีอยู่ในอุปกรณ์พวกนี้โดยส่วนใหญ่มักจะสู้ DAC ที่แยกที่ทำออกมาเฉพาะไม่ได้ ทำให้เมื่อเราเอา DAC แยกมาต่อ เพิ่มเพื่อ ข้าม หรือ Bypass การทำงานของ DAC ที่เป็น On-Board ภายในอุปกรณ์ เสียงที่ได้ก็จะดีขึ้น รายละเอียดของชิ้นดนตรี ความเนียนของเสียงร้อง ความเงียบ "สงัด" ของเสียงพื้นหลังจะดีขึ้น สำหรับคนที่เล่น PC น่าจะรู้จัก Soundcard ซึ่ง DAC ก็คือ Soundcard ประเภทนึง ซึ่งเป็นพาร์ทที่กำหนดคุณภาพเสียงของคอมพิวเตอร์ของคุณ(นึกภาพง่ายๆ เหมือนเราใช้การ์ดจอคอมพิวเตอร์แบบ On-Board กับ การ์ดจอแยกในการเล่นเกมส์)
📍โดยความแตกต่างของ Soundcard นั้นส่วนใหญ่จะออกแบบสำหรับการดูหนัง หรือเล่นเกม เป็นหลัก เพราะมักจะมาพร้อมกับฟังค์ชั่น เสียงแบบ 5.1 และ 7.1 Surround ส่วน DAC นั้นจะมีแต่เพียง 2.1 เท่านั้น โดย DAC จะเด่นด้านการฟังเพลงเป็นหลัก จะให้รายละเอียดเสียงดนตรีที่ดี และ สมจริง ที่สุด
จริงที่ว่าในปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปๆ ของหลายยี่ห้อก็ให้ DAC ที่มีคุณภาพสูงมากับตัวเครื่อง (บางยี่ห้อก็ให้ DAC 24 Bit มาเลยทีเดียว) แต่คุณภาพ DAC ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อคุณภาพเสียง ลองนึกภาพว่าอย่างในมือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ได้มีวงจรเสียงอย่างเดียว ยังมี CPU, GPU ที่ใช้ในการประมวลผลการทำงานกราฟฟิค, หรือคำนวนต่างๆอีกมากมาย ทำให้ถึงแม้จะมี DAC ที่มีคุณภาพดีแต่การทำงานของมันก็จะถูก "รบกวน" จากวงจรอื่นๆที่มีในอุปกรณ์ จนทำให้มันทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือพูดเทียบง่ายๆว่า ถ้า DAC คุณภาพเท่ากันตัวที่ต่อแยกจะทำงานได้ดีกว่านั่นเอง
ด้วยเหตุผลข้างต้นไม่ว่าจะเป็นการที่ DAC แยกมักใช้ชิพเสียงที่มีคุณภาพสูงกว่า หรือการมีวงจรณ์และภาคจ่ายไฟแยกทำให้ชิปเสียงทำงานได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เสียงที่เล่นออกมาจาก DAC แยก มักมีรายละเอียดของเพลงที่ครบถ้วนมากกว่าหรือพูดง่ายๆว่าได้ "เสียงที่ดีขึ้น" นั่นเอง
🔘ถ้าเราใช้ DAC พร้อมกับ Streaming app ต่างๆ จะแตกต่างกันอย่างไร❓
Apple Music
Apple Music คือบริการเช่าเพลงที่มีจำนวนเพลงในคลังมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริการอื่น ๆ ใครเป็นสาวกแอปเปิ้ลน่าจะชอบ เพราะตัวแอปฯถูกออกแบบให้ใช้ได้ทั้งสมาร์ทโฟน สมาร์ทวอทช์ สมาร์ททีวี หรือบนรถก็ฟังได้ ส่วนฟังก์ชันการใช้งานไม่มีลูกเล่นเยอะมาก เน้นความเรียบง่ายในการใช้งาน คุณภาพเสียงปานกลางถึงดีนิด ๆ สำหรับรายการวิทยุ คอนเสิร์ตส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ สามารถหาคนหารค่าบริการได้ตกคนละ 33 บาทต่อเดือน แต่ข้อเสียคือเพื่อนคุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ลเหมือนกัน กรณีจะแชร์ไฟล์ภาพ เสียง วิดีโอ ผ่าน iCloud และต้องขอบอกไว้อีกหนึ่งอย่าง Apple Music ไม่สามารถเข้าใช้บริการได้ทันที ต้องสมัครแพ็กเกจหรือขอสิทธิ์ทดลองใช้ฟรีก่อน
🎼คุณภาพเสียง Apple Music
🔊ไฟล์เสียง 256 kbps
รองรับการใช้งานบนไหนได้บ้าง❓
✅iPhone, iPad, iPod touch และ Apple Watch Series 3 ขึ้นไป
✅Mac หรือ PC
✅Android
Spotify
Spotify แอปฯขวัญใจของใครหลายคน มีจุดเด่นตรงที่มีเพลย์ลิสต์เพลงสากลที่หลากหลาย แต่มีจำนวนเพลงในคลังน้อยกว่า Apple Music สามารถใช้บริการได้ทันที แต่ไม่สามารถเลือกเพลงที่จะฟังแบบเจาะจงได้ (Shuffle Play) รวมถึงสามารถกดข้ามเพลงได้แค่ 6 ครั้งต่อชั่วโมงเท่านั้น และมีโฆษณาคั่นระหว่างฟัง ใครรู้สึกขัดใจก็สามารถสมัครได้ในราคา 129 บาทต่อเดือน หรือหารกับเพื่อนในราคาคนละครึ่งเป็นต้น
🎼คุณภาพเสียง Spotify
🔊Normal 96 kbps
🔊High 160 kbps
🔊Very high 320kbps (สมัครแบบพรีเมี่ยม)
รองรับการใช้งานบนไหนได้บ้าง❓
✅Mac หรือ PC
✅สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, เดสก์ท็อป ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ IOS และ Android
✅สมาร์ททีวี
✅คอนโซลเกม (PS4™ หรือ PS3™)
JOOX
หากชื่นชอบฟังเพลงไทย ไม่ว่าจะไทยสากล หรือลูกทุ่ง JOOX คือแอปฯที่คุณไม่ควรพลาด สำหรับบริการของ JOOX จะมีเพลลิสต์เจ๋ง ๆ จำนวนมาก นอกจากนี้ยังสามารถชมคอนเสิร์ตจากศิลปินดังที่จัดขึ้นมาพิเศษสำหรับ JOOX ด้วยนะ แต่น่าเสียดายตรงที่ JOOX ไม่มีระบบหารค่าบริการร่วมกับเพื่อน แต่ถ้าใครอยากเปิดระบบ VIP แบบฟรี ๆ ก็สามารถทำได้ เพียงแชร์เสียงลงโซเชียลมีเดียของตนเอง เท่านี้ก็สามารถฟังเพลงไฟล์เสียงคุณภาพสูงอย่างไม่จำกัดจำนวนเพลงได้แล้ว ใครเป็นสายฟรีและชอบฟังเพลงไทย JOOX สามารถตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
🎼คุณภาพเสียง
🔊Low คุณภาพเสียงขนาดไฟล์ 0.5-1MB
🔊Std คุณภาพเสียงขนาดไฟล์ 1-2MB
🔊Med คุณภาพเสียงขนาดไฟล์ 3-4MB
🔊HQ คุณภาพเสียงขนาดไฟล์ 6-10MB (เฉพาะ VIP)
🔊Hi-Fiคุณภาพเสียงขนาดไฟล์ 20-30MB (เฉพาะ VIP)
YouTube Music
ประมาณ 60,000,000 เพลง แต่ว่ามันมีเพลง Unofficial Music ที่ถูกผู้ใช้อัปโหลดเข้าไปให้ฟังด้วย ทำให้เราอาจเจอเพลงอินดี้ เพลงจากค่ายเล็ก ๆ หรือเพลงอินดี้สุดแนวให้ฟังด้วย👍
🎼คุณภาพเสียง
เท่ากันทั้งแบบฟรี และเสียเงิน คุณภาพสูงสุด 256 kbit/s (AAC)